10.21.2554

สิ่งที่ควรพัฒนาทางด้านการตลาดสำหรับธุรกิจเบเกอรี่

การทำร้านหรือธุรกิจเบเกอรี่ ไม่ใช่เพียงแค่ผลิตแล้วางขายเท่านั้น แต่ยังต้องคำนึงและปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับด้านการตลาดอีกด้วย ได้แก่

1. สร้างรูปแบบใหม่ๆ
อย่าจำเจกับขนมและบรรจุภัณฑ์เดิมๆ เพื่อให้ลูกค้าชื่นชอบกับความแปลกใหม่ และความแตกต่าง แม้ว่าสูตรทั่วๆไปของเบเกอรี่จะไม่ต่างกัน

2. เน้นความสวยงามสำหรับทุกเทศกาล
นอกเหนือจากความอร่อยแล้วความสวยงามของตัวขนมและบรรจุภัณฑ์ยัง เป็นส่วนประกอบสำคัญในการตัดสินใจซื้อของลูกค้า การเลือกซื้อขนมที่มีบรรจุภัณฑ์สวยงามสำหรับมอบให้แก่กันในเทศกาลต่างๆ ชวยเพิ่มยอดขายให้กับธุรกิจเบเกอรี่โฮมเมดของคุณได้

3. ระมัดระวังเรื่องคุณภาพของเบเกอรี่
อายุของเบเกอรี่แต่ละชนิดนั้นมีความสำคัญอย่างมาก ความสดใหม่ของขนมเท่านั้นที่จะทำให้ลูกค้าติดใจและชื่นชอบในสินค้าของเรา การเน้นคุณภาพและมีความซื่อสัตย์ใน
การทำธุรกิจโดยไม่นำของเก่ามาขายซ้ำจะทำให้ลูกค้าประทับใจเบเกอรี่ของเรา และจะทำให้เรามีลูกค้าประจำ อย่าหวังเพียงแค่การขายให้แกก่ลูกค้าขาจรเท่านั้น

4. ควบคุมขั้นตอนการผลิต
เพื่อให้เบอเกอรี่ที่ได้มีมาตรฐานเหมือนกัน หากไม่ผ่านการตลาดสอบคุณภาพแล้ว ไม่ควรเสียดาย ควรทิ้งหรือกำจัดให้หมด เพราะถ้าเรานำไปขายก็อาจจะทำให้เสียลูกค้าได้

5. ตั้งราคาขายที่เหมาะสม
ตั้งให้เหมาะกับต้นทุนการผลิต อย่าหวังกำไรสูงเกินไป ดูให้เหมาะสมพอดีกับจำนวนสินค้า คุณภาพสินค้า

6. การโฆษณาประชาสัมพันธ์
การที่จะให้สินค้าของเราเป็นที่รู้จักของลูกค้าทั่วไปผ่านทางระบบปากต่อปากอาจจะช้าเกินไป เพราะฉะนั้นจำเป็นต้องอาศัยการประชาสัมพันธ์ โฆษณา ซึ่งมีหลายรูปแบบให้แต่ละคนเลือก เช่น ลงโฆษณากับนิตยสาร บิลด์บอร์ด โบร์ชัวร์ หรืออาจลงผ่านอินเตอร์เน็ตก็ได้ ซึ่งมีทั้งแบบจ่ายรายเดือน รายปี หรือฟรี ซึ่งแล้วแต่ว่าใครจะเลือกแบบไหน ถ้าใครมีความสามารถในการทำเว็บไซต์ก็อาจทำ SEO เองเลยก็ได้ หรือจะจ้างผู้ที่มีความสามารถทำให้เพื่อให้เว็บเบเกอรี่ของเราขึ้นอันดับต้นๆ ของการค้นหาในคีย์เวิร์ดที่เราต้องการ

10.17.2554

เงินลงทุนโดยประมาณสำหรับธุรกิจเบเกอรี่

ต้นทุนที่ใช้ในสำหรับผู้ที่ต้องการเปิดร้านเบเกอรี่ จำเป็นต้องใช้เพื่อให้ธุรกิจดำเนินไปด้วยดี ซึ่งต้นทุนนั้นจะแบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ 1. ต้นทุนคงที่ 2. ต้นทุนผันแปร

1. ต้นทุนคงที่
เป็นต้นทุนสำหรับการซื้อเครื่องมือ ซึ่งในกรณีนี้หมายถึง เตาอบ เครื่องผสมแป้งและส่วนผสมอื่นๆ ตลอดจนถึงเครื่องใช้ไม้สอยทั้งหลาย บางชนิดอย่างเช่นเตาอบหรือเครื่องผสมอาหารอาจมีราคาแพง โดยเฉพาะหากเป็นลนค้าเกรดเอหรือแบรนด์ดัง คุณภาพสูงเป็นที่รู้จักกันทั่วไป ก็จะยิ่งมีราคาสูงมากขึ้น คุณภาพก็ดีตามไปด้วย อายุการใช้งานก็จะยาวนานกว่าสินค้าระดับล่างที่เน้นให้ราคาถูกไว้ก่อน แต่อายุการใช้งานก็น้อยตามไปด้วย

2. ต้นทุนผันแปร
เป็นต้นทุนที่ใช้สำหรับการซื้อวัตถุดิบต่างๆ เช่น แป้ง น้ำตาล เนย เป็นต้น สินค้าเหล่านี้เป็นสินค้าที่ต้องซื้อใหม่อย่างสม่ำเสมอ ต้นทุนสินค้าพวกนี้จะผันแปรไปตามราคาตลาดแต่ถ้าเราซื้อสินค้าในจำนวนมากๆ ก็สามารถต่อรองราคาได้ แต่อย่าลืมว่าถ้าเน้นให้ราคาถูกไว้ก่อน คุณภาพสินค้าก็อาจจะต่ำไปด้วยก็ได้

อย่างไรก็ตาม เรามีราคาประมาณการขั้นต้นมาเพื่อให้ผู้ที่สนใจประกอบธุรกิจเบเกอรี่พิจารณา
(ราคาเมื่อปี 2551)

ราคาโดยประมาณกลุ่มวัตถุดิบสำหรับการเปิดร้านเบเกอรี่
แป้งขนมปัง 1 กิโลกรัม / 35 บาท
แป้งสาลีอเนกประสงค์ 1 กิโลกรัม / 32 บาท
แป้งท้าวยายม่อม 1 กิโลกรัม /30 บาท
แป้งเค้ก 1 กิโลกรัม /45 บาท
แป้งข้าวโพด 1 กิโลกรัม / 38 บาท
แป้งคัสตาร์ด 300 กรัม / 36 บาท
น้ำตาลทรายขาว 1 กิโลกรัม / 23 บาท
น้ำตาลทรายแดง 500 กรัม / 23 บาท
น้ำตาลกรวดแดง 350 กรัม / 22 บาท
น้ำตาลกรวดขาว 500 กรัม / 30 บาท
น้ำตาลไอซิ่ง 400 กรัม / 18 บาท
เกลือ 500 กรัม / 5 บาท
น้ำผึ้ง 565 มิลลิลิตร / 175 บาท
นมข้นหวาน 388 กรัม / 20 บาท
นมข้นจืด 405 กรัม / 22 บาท
นมสด 2 ลิตร / 80 บาท
นมผง 1200 กรัม / 245 บาท
นมเปรี้ยว 800 มิลลิลิตร / 40 บาท
เนยสด (ทั้งชนิดเค็มและจืด) 227 กรัม / 75 บาท
มาร์การีน 2 กิโลกรัม / 224 กรัม
วิปปิ้งครีม 946 มิลลิลิตร / 130 บาท
โยเกิร์ต 150 กรัม / 50 บาท
ครีมชีส 250 กรัม / 105 บาท
ไข์ใก่ 20 ฟอง / 75 บาท
ไข่เป็ด 6 ฟอง /35 บาท
ไข่เค็ม (เฉพาะไข่แดง) 12 ฟอง / 25 บาท
หมูหย็อง 390 กรัม / 185 บาท
ไส้กรอก (แบบสั้น) 15 บาท/ 1 ขีด
(แบบยาว) 20 บาท /1 ขีด
ช็อกโกแลตแท่ง 113 กรัม / 88 บาท
ช็อกโกแลตชิป 340 กรัม/ 190 บาท
ช็อกโกแลตท็อปปิ้ง 340 กรัม / 77 บาท
สตรอว์เบอร์รี่ท็อปปิ้ง 580 กรัม / 65 บาท
โกโก้ผง 500 กรัม / 103 บาท
ครีมออฟทาร์ทาร์ 50 กรัม / 37 บาท
อัลมอนต์ 150 กรัม / 90 บาท
ลูกเกด 1 กิโลกรัม / 90 บาท
มะม่วงหิมพานต์ 500 กรัม 190 บาท
ถั่วเขียว 1 กิโลกรัม / 40 บาท
ถั่วแดง 1 กิโลกรัม / 50 บาท
กะทิสำเร็จรูป 1 กิโลกรัม / 40 บาท
กล้วยตาก 270 กรัม / 40 บาท
เจลาติน (แบบแผนและผง) 22 กรัม / 42 บาท
ผงฟู 400 กรัม / 44 บาท
ยีสต์ (แท่ง) 34 กรัม / 32 บาท
(ผง) 500 กรัม / 163 บาท
น้ำพริกเผา 465 กรัม / 90 บาท
สารแต่งกลิ่นและสี 15 บาท / 30 มิลลิลิตร


ราคาโดยประมาณกลุ่มเครื่องมือและอุปกรณ์สำหรับการเปิดร้านเบอเกอรี่
เครื่องผสมแป้ง 17,000 บาท / เครื่อง
เตาอบ (ขนาดกลาง 2 ชั้น) 20,000 บาท / เครื่อง
(ขนาดเล็ก 1 ชั้น) 2,500 บาท / เครื่อง
(ขนาดเล็ก 2 ชั้น) 3500 บาท/เครื่อง
ถ้วยตวงของแห้ง (อะลูมิเนียม) 160 บาท/ชุด (พลาสติก) 15 บาท 1 ชุด
ถ้วยตวงน้ำ (แก้ว) ความจุ 250 มิลลิลิตร / 380 บาท
(พลาสติก) ความจุ 300 มิลลิลิตร /60 บาท
ช้อนตวง 25 บาท / ชุด
ตราชั่ง 450 บาท / เครื่อง
เทอร์โมมิเตอร์ 120 บาท / แท่ง
พายไม้ 60 บาท / อัน
พายพลาสติก 25 บาท / อัน
เครื่องตีไข่ 70 บาท/อัน
ที่ร่อนแป้ง กว้าง 21 ซม. 215 บาท/อัน
ไม้คลึงแป้ง ยาว 9 นิ้ว 90 บาท/อัน
ผ้าขาวบาง ขนาด 50*58 ซม. 19 บาท/ผืน
อ่างผสมแป้ง ขนาด 36 ซม. 95 บาท/ใบ
ตะแกรงพักอาหารทอด 90 บาท/อัน
ที่ตัดเนย 80 บาท/อัน
ลูกกลิ้งตัดแป้ง 55 บาท/อัน
มีดฟันเลื่อย 100 บาท/เล่ม
แปรงทาเนย 85 บาท/ด้าม
ที่ตักเค้ก 90 บาท/อัน
ที่ปาดหน้าเค้ก 60 บาท/อัน
กระดาษฟรอยด์ ขนาด 12*25 ฟุต 49บาท/ม้วน
ฟิล์มใส ขนาด 30*30 ซม. 49 บาท/อัน
พิมพ์คุกกี้ แบบกด 60 บาท/ 2 พิมพ์
พิมพ์เค้ก ความจุ 1 ปอนด์ 90 บาท /พิมพ์
หลอดแต่งหน้าเค้ก 100 บาท/หลอด

ประมาณการต้นทุนคงที่ (ส่วนของอุปกรณ์เครื่องมือโดยประมาณ)
เครื่องผสมแป้ง 17,000 บาท
เตาอบ 20,000 บาท
อุปกรณ์อื่นๆ ประมาณ 2,000 บาท
รวม 39,000 บาท
คิดโดยประมาณ = 40,000 บาท

สำหรับต้นทุนวัตถุดิบนั้น สามารถคิดแยกส่วนตามแต่ชนิดเบเกอรี่ที่จะเลือกผลิต ซึ่งก็แล้วแต่บุคคลว่าจะผลิตขนมอะไรออกมาขาย ซึ่งจะต้องศึกษาตลาดผู้บริโภคให้ดีเสียก่อน ดังที่ได้กล่าวมาในบทความอื่นๆ ที่แล้วมา









10.13.2554

การเตรียมความพร้อมก่อนลงทุนในธุรกิจเบเกอรี่

ก่อนที่จะลงทุนในธุรกิจใดๆ ก็จำเป็นต้องมีการเตรียมตัวให้พร้อมกั่น ซึ่งธุรกิจเบเกอรี่โฮมเมดก็ไม่ต่างกัน จำเป็นอย่างยิ่งที่ผู้ลงทุนต้องพิจารณาถึงความพร้อมก่อนการลงทุน ซึ่งได้แก่
1. เงินทุน
สำคัญเป็นอันดับหนึ่งก็เพราะเงินลงทุนคือปัจจัยหลักที่จะช่วยให้การเตรียมวัสดุอุปกรณ์ก่อนการผลิตเบเกอรี่เป็นไปด้วยดี จำนวนเงินลงทุนย่อมแตกต่างกันไปตามรูปแบบของธุรกิจว่าต้องการให้ออกมาในลักษณะใด ซึ่งก็ต้องวิเคราะห์และพิจารณาตามกำลังของตัวอง เพราะด้วยทั่วไปแล้วการลงทุนในขั้นแรกจะเน้นหนักไปที่วัสดุปกรณ์ ซึ่งถือว่าเป็นต้นทุนคงที่ และจะให้ผลตอบแทนกลับมาภายในเวลาไม่นาน ดังนั้นควรเลือกใช้อุปกรณ์ที่คุณภาพดี มีการรับประกัน แม้จะราคาสูงแต่มั่นใจได้ถึงคุณภาพ
ส่วนต้นทุนอีกอย่างทีเรียกกันว่าต้นทุนแปรผันแปร เช่น ค่าเช่าพื้นที่ ค่าขนส่ง หรือค่าใช้จ่ายที่เปลี่ยนแปลงได้ ถือว่าเหล่านี้เป็นเงินทุนที่ผู้ลงทุนเองต้องเตรียมไว้ล่วงหน้า เพื่อให้สามารถเงินลงทุนสามารถหมุนเวียนได้อย่างไม่ติดขัด

2. ความรู้ความเชี่ยวชาญ
จำเป็นสำหรับผู้ที่ต้องการเริ่มต้นธุรกิจเบเกอรี่โฮมเมดมาก เพราะควรเรียนรู้ถึงใอุปกรณ์เครื่องมือเครื่องใช้และวัตถุดิบทุกอย่างสำหรับการทำเบเกอรี่ ควรเรียนรู้ว่าแป้งมีกี่ชนิด น้ำตาลหรือวัตถุดิบตัวอึ่นๆ มีคุณสมบัติอย่างไรใช้เป็นส่วนผสมในเบเกอรี่แต่ละชนิดเพื่ออะไร นอกจากนี้ยังต้องฝึกฝนและเชี่ยวชาญในการทำ เบเกอรี่มากพอที่จะควบคุมคุณภาพและรสชาติได้ เพื่อให้ขนมที่ผลิตมีคุณภาพและรสชาติที่เหมือนกัน

ปัจจุบันนี้ มีโรงเรียนสอนทำเบเกอรีมากมาย เราสามารถเลือกเรียนได้ ได้ตามต้องการ ทั้งยังสามารถเลือกเฉพาะวิชาที่สนใจได้ ซึ่งส่วนใหญ่แม้เขาเรียนเพียงคอร์สเดียวก็สามารถนำมาปรับใช้และทำขายได้ทันที รวมทั้งการเรียนรู้สูตรและวิธีการทำจากเพื่อนฝูงหรือญาติพี่น้อง ก็ถือเป็นเรื่องที่ดีที่จะไม่ต้องเลยค่าใช้จ่ายในการเข้าเรียนกับโรงเรียนสอนทำเบเกอรี่ต่างๆ

3. ศึกษาตลาดและคู่แข่ง
ผู้ผลิตควรศึกษาถึงสภาวะการตลาดเพื่อการทำความเข้าใจในการดำเนินธุรกิจของเรา ควรศึกษาว่ากาตลาดเบเกอรี่ในช่วงนั้นๆ เป็นอย่างไร มีกลุ่มคู่แข่งจำนวนประมาณกี่ราย และแต่ละรายมีข้อเด่นข้อด้อยอะไรบ้าง และเราต้องหาจุดแข็งของเรา และปรับกลยุทธ์เพื่อให้สู้กับคู่แข่งให้ได้ การ มองหา ร้านค้าสำหรับฝากขายมีความสำคัญมากในการที่จะช่วยให้ธุรกิจของเราก้าวไปข้างหน้าหรือจะถอยหลัง ร้านที่เห็นควรให้ความสนใจคือร้านที่อยู่ในย่านชุมชน มีทำเลดี มีที่จอดรถสำหรับลูกค้าไว้พร้อม มีการเคลื่อนไหวของจำนวนลูกค้าและหมุนเวียนสินค้าตลอดทั้งวัน และทางร้านมีแนวโน้มที่จะช่วยนำเสนอสินค้าของเรา เพื่อไม่ให้สินค้าของเราถูกกักไว้เพื่อรอส่งกลับคืนอย่างเดียว

4. หาแหล่งวัตถุดิบที่เหมาะสมทั้งเรื่องราคาและคุณภาพ
การซื้อวัตถุดิบสำหรับเฉพาะการทำเบเกอรี่ ย่อมทำให้ได้วัตถุดิบที่มีราคาถูกกว่าซื้อตามห้างสรรพสินค้าทั่วไป และก็ยังคงได้อุปกรณ์ในการทำเบเกอรี่อย่างครบถ้วน


10.09.2554

รูปแบบของการทำธุรกิจเบเกอรี่

ในบทความนี้เราจะพูดถึงรูปแบบของการทำธุรกิจเบเกอรี่ที่เหมาะสมกับตัวเอง ซึ่งเป็นรูปแบบที่เราเลือกเองโดยวิเคราะห์ถึงวิธีการ ลักษณะ และความพร้อมของตัวเอง
โดยรวมแล้ว รูปแบบของเบเกอรี่โฮมเมดที่เห็นอยู่ทั่วไปในปัจจุบันมีดังนี้
1. มีหน้าร้านเป็นของตัวเอง
คำว่า “หน้าร้าน” ในที่นี้ ด้วยรูปแบบของเบเกอรี่โฮมเมดแล้ว อาจไม่ได้หมาย
ความถึงร้านบเกอรี่ขนาดใหญ่ แตเป็นร้านค้าอะไรก็ได้ที่ผู้ประกอบการอาจมีอยู่แล้ว เช่น ร้านค้า ร้านอาหาร ร้านยา

รูปแบบของการทำธุรกิจเช่นนี้ถือว่าเป็นโอกาสที่ดี เพราะเราสามารถขายสินค้าได้เต็มราคาไม่ต้องโดนหักส่วนแบ่งเหมือนการนำไปฝากขาย สามารถผลิตขนมได้ตามความต้องการและวางขายได้เป็นจำนวน ตามที่จะมีความสามารถผลิตได้ แต่ต้องเลือกพื้นที่ขายให้โดดเด่ดชัดเจน ไม่ขวางทางแต่ต้องสะดุดตา และการเลือกบรรจุภัณฑ์ที่สวยงามก็เป็นเรื่องที่ควรเอาใจใส่ด้วย
2. การฝากขาย
การขายแบบนี้แทบไม่ต้องมีหน้าร้านเป็นของตัวเอง เพราะในรูปแบบ “ฝากขาย” ก็คือการนำสินค้าไปฝากไว้กับร้านค้าอื่นๆ เพื่อให้ขายแทนเรา โดยมีการแบ่งปันผลประโยชน์กันตามที่ตกลงกัน หรือที่เรียกว่าการแบ่งเปอร์เซ็นต์นั่นเอง
การฝากขายนั้น ในระยะเริ่มต้นผู้ประกอบการต้องให้ความเอาใจใส่ที่ค่อนข้างมากในการสำรวจพื้นที่หรือร้านค้าต่างๆ ที่เราเห็นว่าเหมาะสมที่จะรับฝากขายสินค้าของเรา เช่น ร้านอาหาร ร้านกาแฟ ร้านขายเครื่องดื่ม ร้านไอศกรีม ร้านสะดวกซื้อ หรือร้านอาหารอื่นๆ ภายในสถาบันการศึกษา โรงพยาบาล สถานที่ราชการต่างๆ ข้อดีคือ เราไม่ต้องบริหารร้าน แต่ทำหน้าที่ผลิตอย่างเดียว
ในกรณีที่เราพบร้านเป้าหมายแล้ว การเข้าไปเจรจาพูดคัยเพื่อตกลงทำธุรกิจเป็นสิ่งที่ต้องทำทันที แต่ก่อนอื่น เราต้องมั่นใจว่าสินค้าของเรานั้นพร้อมทุกด้าน ทั้งเรื่องรสชาติ บรรจุภัณฑ์ ชื่อสินค้า ราคา และกำลังการผลิตที่้ต้องตอบสนองความต้องการจากลูกค้าได้ทันที ส่วนเรื่องราคาส่งนั้น ต้องบวกกำไร ต้นทุนต่างๆ ให้เรียบร้อย และร้านก็จะรับไปตั้งราคาขายอีกทอดหนึ่ง ซึ่งเค้าจะบวกกำไรต่างหาก แต่เราอย่าลืมเจรจาราคาที่จะขายให้กับลูกค้าจริงๆ เพื่อไม่ให้ขนมนั้นมีราคาแพงเกินไป ซึ่งจะส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อของลูกค้า

3. ทำตามสั่ง
การผลิตเบเกอรีตามสั่งหรือตามออร์เดอร์ที่ลูกค้าต้องการก็เป็นอีกรูปแบบหนึ่งของธุรกิจเบเกอรี่โฮมเมดที่พบมาก ลักษณะนี้จะเกิดขึ้นหลังจากที่สินค้าของเราเป็นที่รู้จักแล้ว จึงมียอดการส่งซื้อเข้ามา ส่วนใหญ่มักผลิตส่งตามร้านกาแฟ หรืองานจัดเลี้ยง งานประชุมสัมมนาต่างๆ ข้อดีของธุรกิจฟูแบบนี้คีอ ไม่มีของเหลือ ไม่ต้องรับสินค้ากลับคืน เพราะส่วนใหญ่เป็นในลักษณะขายขาดแเละทำตามปริมาณที่สั่ง แต่ข้อเสียคือ หากสินค้าไม่ดีจริง ไม่อร่อย ไร้คุณภาพ ยอดการสั่งซื้อย่อมลดลง และอาจจะไม่มีการสั่งซื้ออีกเลย
เมื่อเราทราบแล้วว่ารูปแบบของธุรกิจการทำเบเกอรี่มีอะไรบ้าง เราก็เลือกที่เหมาะสมกับตัวเองเพื่อให้ผลประกอบการออกมาดีที่สุด

9.16.2554

ตลาดเบเกอรี่

จากการที่นับวันผู้ที่ประกอบอาชีพทำเบเกอรี่จะมีมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งธุรกิจขนาดใหญ่ เล็ก ซึ่งเราจะแยกประเภทตลาดเบเกอรี่ได้ดังนี้
1. ตลาดเบเกอรี่ระดับบน มักเป็นเบเกอรี่ที่มีราคาแพง มักขายในห้างสรรพสินค้า เน้นความสวยงามของสินค้าและบรรจุภัณฑ์ เป็นสินค้ามียี่ห้อ กลุ่มเป้าหมายมักเป็น นักเรียน นักศึกษา คนทำงาน คนที่ชอบเดินตามห้าง ราคาเบเกอรี่มักจะแพง ราคาอยู่ที่ 30-60 บาท สินค้าที่อยู่ในตลาดระดับบน ส่วนมากมั้กมีช่องทางการจำหน่ายเป็นหลักแหล่ง นอกจากห้างแล้ว ยังมักมีช๊อปเป็นของตนเอง ลูกค้าเมื่อต้องการสินค้าก็จะเดินเข้าไปซื้อเอง ด้านการประชาสัมพันธ์ ไม่จำเป็นต้องประชาสัมพันธ์มากเพราะว่าผ่านขั้นตอนการสร้างแบรนด์จนเป็นที่รู้จักแล้ว แต่สิ่งที่ตลาดระดับบนมักทำ อาจจะเป็นการจัดโปรโมชั่นต่างๆ ตามวาระเพื่อกระตุ้นยอดขาย
2. ตลาดเบเกอรี่ระดับกลาง ราคาอาจถูกลงจนเหมาะกับกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่ชอบรับประทานเบเกอรี่แต่ไม่ได้มีกำลังซื้อมากนัก คุณภาพก็ไม่ได้ด้อยกว่า เพียงแต่อาจไม่ได้เน้นวางขายในพื้นที่ของห้างหรือเน้นความสวยงามหรูหรามากเท่าเบเกอรี่ในตลาดระดับบน มักกระจายสินค้าไปตามพื้นที่อื่นๆ รวมทั้งในร้านอาหาร ร้านกาแฟ ราคาขายอยู่ที่ประมาณ 20 - 40 บาทด้วยศักยภาพและปริมาณการซื้อของกลุ่มเป้าหมายที่กระจายอยู่ทั่วไป จึงทำให้ช่องทางการกระจายสินค้าสามารถทำได้อย่างครอบคลุมแเละหลากหลายมากขึ้น เช่น ฝากขายตามร้านของฝากของที่ระลึก ร้านเครื่องดื่ม มินิมาร์ต หรือหากต้องการขยายช่องทางเพิ่ม
ขึ้นผู้ผลิตเองอาจมองหากลุ่มลูกค้าประเภทรับจัดเลี้ยง โรงแรมด้วยก็ได้ โดยอาจเข้าไปเสนอตัวอย่างสินค้าในฐานะซัปพลายเออร์ด้านขนม ก็เป็นอีกช่องทางหนึ่งที่หากเริ่มต้นได้ ลักษณะพฤติกรรมของผู้บริโภคในตลาดระดับนี้ คือ ชอบขนมอร่อย ราคาไม่แพงเกินไป ดังนั้นหากคุณสามารถทำขนมให้มีรสชาติอร่อยถูกปากได้แล้ว กลุ่มลูกค้าก็เกิดขึ้นได้ไม่ยากเช่นกัน
3. ตลาดเบเกอรี่ระดับล่าง สำหรับเบเกอรี่ที่จัดอยู่ในระดับล่างมักไม่ได้เน้นตราสินค้า บางรายอาจเพียงแค่ใส่ขนมลงในถุงพลาสติกแล้วติดป้ายราคาไว้เท่านั้น หรือก็มีบ้างสำหรับตราสินค้าและเบอร์โทรศัพท์ที่แนบไว้ มักวางขายทั่วไปตั้งแต่ในร้านขายของชำไปจนกระทั่งร้านค้าเล็กๆ ตามท่ารถโดยสาร ราคาไม่แพงเพราะอาจใช้วัตถุดิบที่มีคุณภาพ ด้อยลงมาเล็กน้อย โดยทั่วไปราคาจะอยู่ที่ประมาณ 10 - 30 บาทลักษณะการซื้อขายของสินค้าในตลาดนี้อยู่ที่การเน้นขายจำนวนครั้งละมากๆ มีประเภทของขนมให้เลือกไม่มากนัก เนื่องจากข้อจำกัดเรื่องต้นทุนสินค้า ดังนั้นแนวทางการจึงไม่ได้เน้นที่ความหวือหวานหรือสวยงามของรูปร่างหน้าตา หรือความแปลกใหม่ แต่สุดท้ายแล้วผู้ที่คิดจะอยู่ในตลาดนี้ ควรมุ่งเน้นสร้างความพอใจในเชิงปริมาณ และราคาการต่อรองไปยังกลุ่มลูกค้าที่คิดไว้ เช่น ร้านขายส่งทั่วไป

9.12.2554

เบเกอรี่สูตรเค้กกาแฟ

เบเกอรี่สูตรเค้กกาแฟ
เบเกอรี่สูตรนี้ ต้องใช้นมเปรี้ยว เค้กจึงจะนุ่มและขึ้นฟู

ส่วนผสมเบเกอรี่สูตรเค้กกาแฟ
เนย 1/2 ถ้วย
น้ำตาลทรายป่น 1/3 ถ้วย
ไข่ (แยกไข่ขาว ไข่แดง) 3 ฟอง
วานิลลา1 ช้อนขา
แป้งเค้กร่อน1 ครั้ง 2 ½ ถ้วย
เบกกิ้งโซดา 1 /2 ช้อนชา
เกลีอ1 ช้อนชา
กาแฟผงละเอียด 1/4 ถ้วย
นมเปรี้ยว 1 1/3 ถ้วย
(นม 1 1/3 ถ้วย ใส่น้ำส้มสายชู 1 ½ ช้อนโต๊ะ)

1. คนเนยกับน้ำตาลป่น 1 ถ้วยจนเป็นครีม
2. คนไข่แดงกับวานิลลาเข้าด้วยกันใส่ลงในครีม คนให้เข้ากัน
3. ร่อนแป้ง เบกกิ้งใซดา เกลือ กาแฟ เข้าด้วยกัน 3 ครั้ง ผสมแป้งลงในครีมสลับกับนมเปรี้ยวจนหมด
4. ตีไข่ขาวกับน้ำตาล 1/3 ถ้วย เข้าด้วยกันจนขึ้นฟูผสมลงในแป้ง คนเบา ๆ พอเข้ากัน
5. ปูกระดาษไขลงในพิมพ์กลมขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง
8 นิ้ว ทาไขมันบาง ๆให้ทั่วพิมพ์ ใส่ส่วนผสม อบไฟ 350 องศาฟาเรนไฮต์ ประมาณ 45 นาที หรือจนสุก


8.28.2554

เบเกอรี่สูตรเค้กช็อกโกแลตนมเปรี้ยว

เบเกอรี่สูตรเค้กช็อกโกแลตนมเปรี้ยว
เบเกอรี่วันนี้ขอนำเสนอเค้กช็อกโกแลตนมเปรี้ยว ซึ่งมีทริกเล็กน้อยในการทำหนมเปรี้ยว คือ นมเปรี้ยวนั้นใช้นมข้นจืด 1 ถ้วย ใส่น้ำส้มสายชู 1 ช้อนโต๊ะ คนให้เข้ากัน ทิ้งไว้สักครู่จะได้นมเปรี้ยวซึ่งส่วนผสมและวิธีการทำมีรายละเอียดังต่อไปนี้

ส่วนผสมเบเกอรี่สูตรเค้กช็อกโกแลตนมเปรี้ยว
ช็อกโกแลต 2 ช้อนโต๊ะ
น้ำร้อน 2 ช้อนโต๊ะ
แป้งสาลีอเนกประสงค์ร่อน1 ครง้ 2 ¼ ถ้วย
น้ำตาลทรายป่น 1 ¼ ถ้วย
เกลือป่น 1 ช้อนจา
เบกกิ้งโชดา 1ช้อนชา
เนยขาว 1/2 ถ้วย
นมเปรี้ยว 1 ถ้วย
ไข่ 3 ฟอง

1. ร่อนแป้ง เกลือป่น เบกกิ้งโซดาเข้าด้วยกัน
2. คนเนยขาวจนนุ่ม ใล่น้ำตาลลคนจนเป็นครีม ใส่ไข่ คนให้เข้ากัน
3. ผสมช็อกโกแลตกับน้ำร้อน 2 ช้อนโต๊ะ เข้าด้วยกันใส่ลงในส่วนผสมข้อ 2 คนให้ทั่วใส่แป้งสลับกับนมเปรี้ยวจนหมด
4. ปูพิมพ์รูปสี่เหลี่ยมขนาด 13x9 นิ้ว ด้วยกระดาษลอกลายข้อ 2 ทาไขมันบางๆ ให้ทั่วพิมพ์ ใส่ขนมลงในพิมพ์อบไฟ380 องศาฟาเรนไฮต์ ประมาณ 40 นาที จนขนมสุกเอาออกจากเตา

วิธีทำหน้านมเปรี้ยวราดบนเค้ก
ครีมเปรี้ยว (sour cream) 1 ถ้วย
น้ำตาลนไอซิ่งร่อน 1 ครั้ง ¼ ถ้วย

คนน้ำตาลไอชิ่งกับครีมแปรี้ยวข้าด้วยกันให้เป็นเนื้อเดียวกัน แช่เย็นสักครู่ แล้วจึงเอาออกมาดักราดบนเค้ก ใช้พายยางป้ายให้หน้าเสมอ แล้วจึงตัดเป็นชิ้นสี่เหลี่ยม



8.26.2554

เบเกอรี่สูตรเค้กไข่ขาว

เบเกอรี่สูตรเค้กไข่ขาว
เบเกอรี่สูตรรี้เหมาะกับผู้สูงอายุ จึงเหมาะเป็นของขวัญและเยี่ยมไข้ผู้ป่วย

ส่วนผสมเบเกอรี่สูตรเค้กไข่ขาว
แป้งเค้กร่อน 1 ครั้ง 1 ถ้วย
น้ำตาลทรายป่น (ส่วนที 1 ) 3/4 ถ้วย
น้ำตาลทรายป่น (ส่วนที่ 2) 3/4 ถ้วย
ไข่ขาว (ไข่ไก่) (1 1/2 ถ้วย) 12 ฟอง
ครีมออฟทาร์ทาร์ 1 1/2 ช้อนชา
เกลือป่น 1/4 ช้อนชา
วานิลลา 1 1 /2 ช้อนชา

วิธีทำเบเกอรี่สูตรเค้กไข่ขาว
1. ร่อนแป้งและน้ำตาล 3/4 ถ้วย (ส่วนที่ 1 ) เข้าด้วยกัน 4 ครั้ง
2. ตีไข่ขาวให้ขึ้น ใส่เกลือ ครีมออฟทาร์ทาร์ (จะใส่ครีมออฟทาร์ทาร์ก็ต่อเมื่อไข่ขาวเริ่มขื้น) ใส่วานิลลาในขณะที่ตีไข่ให้ใส่น้ำตาลครั้งละ 2 ช้อนโต๊ะ(ส่วนที่ 2) จนน้ำตาลหมดและไข่ขาวขึ้นแข็ง จะใช้เวลาประมาณ
15-18 นาที
3. ร่อนแป้งใส่ครั้งละ 1/4 ถ้วย ลงในไข่ขาวที่ตี คนพลิกกลับตะล่อมเบา เพื่อเข้ากันจนแห้งหมด (รวม 4 ครั้ง)
4. เทขนมลงในถาดปล่อง (ถาดกลมที่มีรูตรงกลางtube pan) ขนาด 10 นิ้ว อบไฟ 375 องศาฟาเรนไฮต์ประมาณ 40 นาที จนขนมสุก จึงเอาออกจากเตา วางคว่ำ ลงบนตะแกรงให้ถาดขนมสูงเหนือตะแกรงขึ้นมาประมาณ 2 ซม. (โดยปกติปล่องตรงกลางจะยาวเหนือขอบประมาณ 2 ซม. เป็นอย่างต่ำ ถ้าขอบอยู่ระดับเดียวกันขอบถาดแบบนี้จะมืปีกข้างๆ เพื่อให้วางปีกที่ยื่นออกมาเกยกับก้นแก้วเพื่อยกใน้ถาดสูงเหนือระดับตะแกรง) เพื่อให้ขนมหดตัว เมื่อเย็นและหลุดจากถาดเร็วขึ้น แล้วจึงกลับเอาหน้าขึ้นแต่งหน้าด้วยหน้าน้ำเขื่อม

ส่วนผสมหน้าน้ำเชื่อมสำหรับเบเกอรี่สูตรเค้กไข่ขาว
น้ำตาลทราย 1 3/4 ถ้วย
น้ำ 3/4 ถ้วย
ครีมออฟทาร์ทาร์ 1/2 ช้อนชา
น้ำมะนาว 1 ช้อน
ไข่ขาว 4 ฟอง

วิธีทำหน้าน้ำเชื่อมสำหรับเบเกอรี่สูตรเค้กไข่ขาว
1.ผสมน้ำตาลกับน้ำ น้ำมะนาว ตั้งไฟพอน้ำตาลละลาย กรองด้วยผ้าขาวบาง ตั้งไฟใหม่จนน้ำเชื่อมข้นติดพาย ยก พายดู ถ้าน้ำเชื่อมไหลเป็นสายยาวเป็นใช้ได้ ตีไข่ขาวให้ขึ้น
2.ใส่น้ำเชื่อมทีละน้อยในขณะที่ตีไข่ขึ้นแล้วและน้ำเชื่อมกำลังร้อน ๆจนหมด ใส่ครีมออฟทาร์ทาร์ต่อไปพอเข้ากันก็ใช้ได้
วิธีแต่งหน้าเบเกอรี่สูตรเค้กไข่ขาว
ตักหน้าราดบนขนมตรงส่วนก้น คว่ำหน้าพลิกลง ใช้ spatula ปาดเบา ๆให้ทั่วทั้งด้านบนและข้าง ๆ
เสริ์ฟเบเกอรี่สูตรเค้กไข่ขาวพร้อมกับกาแฟหรือชาร้อนๆ

8.19.2554

เยลโล่เดซี่เค้ก

เยลโล่เดซี่เค้ก
เค้กนี้เป็นเค้กไข่แดง ดังนั้นเค้กไข่แดงจะใช้นมมากว่าเค้กที่ใช้ไข่ทั้งฟอง เพราะไข่แดงมีน้ำน้อยกว่าไข่ขาว เค้กชนิดนี้เนื้อจะแน่นรสชาติเข้มข้น วิธีรับประทานให้อร่อย กินกับเชอร์เบทส้ม โดยตักเชอร์เบทวางข้างบนจะทำให้รสชาติอร่อยยิ่งขึ้น





ส่วนผสมของเยลโล่เดซี่เค้ก
เเป้งสาลีอเนกประสงค์ร่อน 1 ครั้ง 2 ถ้วย
ผงฟู 2 ช้อนชา
เกลือ 1/2 ถ้วย
เนยหรือมาร์การีน 1/2 ถ้วย
น้ำตาลทรายป่น 1 1/2 ถ้วย
ไข่แดง 6 ฟอง
นม 1 ถ้วย
กลิ่นมะนาว 1 ช้อนชา

1. ร่อนแป้ง ผงฟู เกลือ เข้าด้วยกัน 3 ครั้ง คนเนยพอนุ่มแล้วใส่น้ำตาลทีละน้อย 2-3 ช้อน ใส่จนเป็นครีมขาวฟูและน้ำตาลหมดใส่ไข่แดงทีละฟองคนพอเข้ากันจึงใส่ฟองต่อไป ทำเช่นนี้จนหมด 6 ฟอง
2. ใส่แป้งลงในครีมทีละน้อย ทีละน้อยคือทีละ 2-3ช้อนโต๊ะ คนตะล่อมเบา ๆจนแป้งเข้ากับครีม จึงใส่นม 2-3 ช้อนโต๊ะ คนแบบเดียวกัน ใส่แป้งสลับกับนมและคนเช่นนี้จนหมดทั้งแป้งและนม ใส่กลิ่นมะนาว
3. ปูกระดาษไขลงในพิมพ์กลมขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 10 นิ้ว ทาไขมันบาง ๆให้ทั่ว ตักแป้งที่ผสมลงในถาด ใช้ด้ามช้อนคนไปมา 2-3 ครั้ง เพื่อไล่อากาศ อบไฟที่ 325 องศาฟาเรนไฮต์ ประมาณ 60 นาที จนขนมสุกเหลืองขอบหลุดจากพิมพ์ จึงเอาออกจากเตา
4. ปล่อยขนมไว้ในพิมพ์ประมาณ 10 นาที จึงเอาออกจากพิมพ์ ตัดเป็นชิ้นเสิร์ฟกับเครื่องดี่ม หรือรับประทาน
กับไอศกรีม หรือเชอร์เบท

8.07.2554

ยีสต์เค้ก



ยีสต์เค้ก การทำยีสต์เค้กนั้นมีเคล็ดลับนิดหน่อยคือ ส่วนผสมนม เนย น้ำตาลต้องอุ่นจึงใส่แป้งและยีสต์ได้ ถ้าส่วนผสมนม เนย น้ำตาลร้อน แป้งจะสุกและยีสต์จะตายเมี่อยีสต์ตายขนมจะไม่ขึ้น ทำให้ขนมด้านไม่น่ารับประทาน



ส่วนผสมของยีสต์เค้ก
เนย 1 ถ้วย
ยีสต์ผงละเอียด (lnstant yeast) 1 ช้อนโต๊ะ
น้ำตาลทราย 3/4 ถ้วย
นม 1 ถ้วย
ไข่ตีเข้ากัน 4 ฟอง
แป้งสาลีอเนกประสงค์ร่อน 1 ครั้ง 2 ถ้วย
เกลือ ¼ ช้อนชา
ลูกเกด 1 ถ้วย
ถั่วลิสงคั่วหั่นหยาบ 1 /8 ถ้วย
น้ำดาลไอซิ่งร่อน 1 ครั้ง 2 ช้อนโต๊ะ
นมข้นจืด 2 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำยีสต์เค้ก
1.ละลายเนย นม น้ำตาล เกลือเข้าด้วยกัน โดยตั้งไฟพอน้ำตาลละลาย ยกลงปล่อยให้อุ่น ใส่เเป้ง 1 ถ้วย ใส่ ยีสต์คนพอทั่ว ใส่ไข่ ใส่แป้งที่เหลือทีละ 2-3 ช้อนโต๊ะสลับกับลูกเกิดและถั่วจนหมด คนให้เข้ากันปล่อยให้ขึ้นประมาณครึ่งชั่วใมง (แป้งจะฟื้นฟูเป็น 2 เท่าตัว ลักษณะของแป้งค่อนข้างนุ่มเหลวติดมือ) คนไล่อากาศ 2. เทขนมลงในพิมพ์ขนมปังที่ทาไขมัน ปล่อยให้ขึ้นอีกประมาณ 20 นาที ทาหน้าขนมด้วยนมข้นจืดให้ทั่ว
อบไฟ 350 องคาฟาเรนไฮต์ ประมาณ 40 นาที หรือจนกว่าขนมจะสุกเป็นสีเหลืองทอง เอาออกจากเตาใช้ที่แซะ แชะขนมโดยรอบพิมพ์ ปล่อยให้เย็น 10 นาที จึงคว่ำพิมพ์ขนมลง เอาขนมออกจากพิมพ์หงายหน้าขึ้นโรยน้ำตาลไอซิ่ง เพียงเท่านี้ก็จะได้ยีสต์เค้กที่อร่อยน่ารับประทานกับน้ำชา หรือกาแฟ

8.05.2554

เค้กผลไม้

สูตรเค้กผลไม้



เค้กผลไม้เป็นเค้กที่ใช้ผลไม้เชื่อมมาเป็นส่วนผสมที่ทำให้เค้กมีความแปลกใหม่ และผลไม้เชื่อมที่จะนำมาทำเค้กผลไม้นั้นก็สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามใจผู้ทำ

ส่วนผสมของเค้กผลไม้
1. แป้งสาลีอเนกประสงค์ร่อน 1 ครั้ง 3 ถ้วย
2.ผงฟู 1 ช้อนโต๊ะ
3.อบเชยป่น 1/2 ช้อนชา
4.เกลือ 1/2 ช้อนชา
5.เนย 2/3 ถ้วย
6.น้ำผื้ง 1 1/2 ถ้วย
7.ไข่ 3 ฟอง
8.น้ำส้มคั้น 1/2 ถ้วย
9.กล้วยตากหั่นสี่เหลี่ยมเล็ก 1/2 ถ้วย
10.มะตูมเชื่อมหั่นชิ้นเล็ก 1/2 ถ้วย
11.ฟักเชื่อมหั่นชิ้นเล็ก 1/2 ถ้วย
12.เชอร์รี่เชื่อมหั่นบาง 1/4 ถ้วย
13.อัลมอนด์หั่นหยาบ 1/4 ถ้วย
14.ลูกเกด 1/2 ถ้วย

วิธีทำเค้กผลไม้


1. ร่อนแป้ง ผงฟู เกลือ อบเชย เข้าด้วยกัน
2. ผสมผลไม้ทั้งหมดและอัลมอนด์เข้าด้วยกัน แล้วคลุกกับแป้งโดยแบ่งออกมา 1/4 ถ้วย
3. คนเนยกับน้ำผึ้งให้เข้ากันโดยวิธีค่อย ๆรินน้ำผึ้งลงในเนย
4. ต่อยไข่คนให้เข้ากัน ใส่ลงไปในเนย คนให้เข้ากัน
5. ค่อยๆใส่แป้งลงในเนยสลับกับผลไม้และน้ำส้มคั้นคนให้เข้ากัน
6. ใช้กระดาษไขรองก้นพิมพ์ขนมปัง (พิมพ์สี่เหลี่ยม 4x6 นิ้ว) ทาไขมันบาง ๆให้ทั่ว ตักขนมใส่ 1/2 ของพิมพ์ ปาดตรงกลางให้เป็นแอ่ง แต่งหน้าด้วยลูกเกดและเชอร์รี่สีแดง อบไฟ 350 องศาฟาเรนไฮต์ ประมาณ 40 นาที หรือจนสุกเหลือง เมื่อสุกเอาออกจากพิมพ์เอากระดาษไขรองก้นพิมพ์ออก วางบนตะแกรงพักจนเย็น ห่อด้วยอะลูมินั่มฟอยล์ ควรจะทิ้งไว้สัก 3-5 วัน จึงจะอร่อย ขนมจะเหนียว เนื่องจากน้ำตาลจากผลไม้และน้ำผึ้งจะเยิ้มออกมา ทำให้ขนมเหนียว ไม่ร่วน เมื่อตัดเป็นชิ้นๆ
7.เสิร์ฟเค้กผลไม้กับชาหรือกาแฟ

3.17.2554

เค้กสับปะรด

เค้กสับปะรด
เค้กสับปะรดเป็นเค้กที่มีสับปะรดเป็นส่วนประกอบสำคัญดังนั้น การเลือกสับปะรดจึงเป็นสิ่งที่ต้องระมัดระวัง
ถ้าต้องการใช้สับปะรดสดให้ต้มสับปะรดกับน้ำเชื่อมใสก่อน เพื่อป้องกันไม่ให้เค้กขมและน้ำในสับปะรดจะทำให้เค้กไม่ขึ้น และส่งผลให้ส่วนก้นเค้กเป็นไต

ส่วนผสมของเค้กสับปะรด
เนยขาว 1/2 ถ้วย
น้ำตาลทรายป่น 1 ถ้วย
ไข่ 2 ฟอง
กลิ่นส้ม 1/2 ช้อนชา
วานิลลา 1 ช้อนชา
แป้งสาลีอเนกประสงค์ร่อน 1 ครั้ง 1 ¾ ถ้วย
ผงฟู 1 ½ ช้อนชา
เกลือ ¼ ช้อนชา
เบกกิ้งโซดา ¼ ช้อนชา
สับปะรดกระป๋องสับหยาบ ๆ 1 ถ้วย

1.คนเนยขาวพอนุ่ม ใส่น้ำตาลทีละน้อยคนจนน้ำตาลเป็นครีม ใส่ไข่ทีละฟองคนให้เข้ากัน ใส่วานิลลา
ใส่กลิ่นส้ม คนพอทั่ว
2. ร่อนแป้ง ผงฟู เกลือเข้าด้วยกัน ผสมเบกกิ้งโซดาลงในสับปะรดคนพอทั่วใส่แป้งลงในครีมทีละ 2-3 ช้อนโต๊ะคนพอแป้งเข้ากับครีม ใส่สับปะรดทีละน้อยคนพอทั่ว ใส่แป้งสลับกับสับปะรดจนหมด
3. ปูกระดาษไขลงในถาดกลมขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง8 นิ้ว ทาไขมันขาวบาง ๆพอทั่ว เทขนมลงในถาด ใช้ด้ามส้อมคนไล่อากาศ อบไฟ 350 องศาฟาเรนไฮต์ ประมาณ 40 นาที หรือจนสุก จึงเอาออกจากเตา คว่ำขนมลงบนตะแกรง เอากระดาษไขออกหงายเอาหน้าขึ้น ปล่อยให้เย็นจึงตัดเป็นเสี้ยว ๆ เสิร์ฟเค้กสับปะรดกับกาแฟ


เค้กปอนด์

เค้กปอนด์
เค้กปอนด์เป็นเค้กทีใครหลายๆคน รู้จักกันดี ในวันนี้เราจึงขอนำเสนอสูตรเค้กปอนด์ พร้อมทั้งเคล็ดลับที่ใครหลายคนก็ยังไม่รู้ค่ะ

ส่วนผสมของเค้กปอนด์
เนย ¾ ถ้วย
น้ำตาลทรายป่น ¾ ถ้วย
วานิลลา 1 ช้อนชา
ผิวมะนาว ขูดหรือผิวมะนาวหั่นฝอย ๆละเอียด 1/2 ช้อนชา
ไข่ 1 ฟอง
แป้งสาลีอเนกประสงค์ร่อน 1 ครั้ง 1 ¼ ถ้วย
ผงฟู 1/2 ช้อนชา
เกลือ ¼ ข้อนชา
น้ำตาลไอซิ่งสำหรับโรยหน้า

วิธีทำเค้กปอนด์
1. ร่อนแป้ง ผงฟู เกลือ เข้าด้วยกันเป็นจำนวน 2 ครั้ง จากนั้นให้คนเนยกับน้ำตาลจนเป็นครีมใส่วานิลลา ผิวมะนาวคนจน เข้า กัน
2. ต่อยไข่คนให้เข้ากัน ใส่ลงในเนยคนจนเข้ากันแล้วจึงค่อย ๆใส่แป้งทีละน้อยโดยวิธีคนตะล่อมพลิกจาก
ข้างล่าง มา ข้างบน
3. ปูกระดาษไขลงในพิมพ์ 9x5x2 นิ้ว ทาไขมันบาง ๆเทขนมลงในพิมพ์ 2/3 ของพิมพ์ อบไฟ 350 องศาฟาเรนไฮต์ประมาณ 50 นาที หรือจนกว่าสุก พอสุกเอาออกจากพิมพ์วางบนตะแกรง โรยด้วยน้ำตาลไอซิ่ง

เคล็ดลับทำขนมเค้กปอนด์
การอบขนมในเตาเดียวกัน ต้องใช้พิมพ์และใส่ขนมเท่า ๆกัน ขนมจึงจะสุกพร้อมกัน เพื่อไม่ให้ขนมไหม้ก้น ให้ใช้กระดาษหนังสือพิมพ์ 1 คู่ ปูลงบนลาดแล้วจึงวางพิมพ์ที่ใส่ขนมลงบนถาด ล้อมด้วยกระดาษหนังสือพิมพ์พับ 3สูงเท่าขอบพิมพ์ ชุบน้ำพอเปียกล้อมรอบพิมพ์แล้วจึงอบ จะได้ขนมที่เปลือกไม่หนาเมื่อสุกแล้วถ้าต้องการให้ขนมหน้าเสมอกันให้ใช้พายยางปาดขนมให้เป็นแอ่งตรงกลางก่อนอบ เมื่ออบสุกขนมส่วนขอบจะไหลมาตรงกลางทำให้หน้าขนมหน้าเรียบ


3.16.2554

เค้กเนย

เค้กเนย
เค้กเนยนั้นเมื่อผสมแป้งแล้วควรจะเนียนเป็นเนื้อเดียวกัน ไม่มีไขมันแยกตัวออกมา ถ้าผสมไข่แล้วไขมันแยกตัวให้ใส่แป้งก่อนจนแป้งเข้ากับส่วนผสมดีและไม่แยกตัวจึงใส่นม และก่อนจะทำการอบจะต้องดูว่าอุณหภูมิที่ใช้ในปัจจุบันจะใช้องศาเซนติเกรด ซึ่ง 375 องศาฟาเรนไฮต์ จะเท่ากับ 190 องศาเซนติเกรด ทั้งนี้ผู้ทำขนมจะต้องศึกษาคู่มือเตาอบให้ดีก่อนใช้

ส่วนผสมของเค้กเนย
แป้งเค้กร่อน 1 ครั้ง 2 ถ้วย
ผงฟู 3 ช้อนชา
เกลือ 1/2 ช้อนชา
ไข่ฟองใหญ่ 3 ฟอง
(ถ้าไข่ฟองเล็กใช้ 4 ฟอง)
น้ำตาลทรายป่น 1 ถ้วย
เนยหรือมาร์การีน ¾ ถ้วย
นม 1/2 ถ้วย
วานิลลา 1 ช้อนชา

วิธีทำเค้กเนย
1 คนเนยให้นุ่มแล้วใส่น้ำตาลครั้งละ 1 ช้อนโต๊ะ คนไปทางเดียวกันจนเป็นครีมและน้ำตาลหมด (จับดูจะเนียนมือแสดงว่าเป็นครีมดี ถ้าจับแล้วสากมือน้ำตาลกับเนยไม่เข้ากันดี ขนมจะหยาบเมื่อสุกแล้ว)
2.ใส่ไข่ลงในครีมครั้งละ 1 ฟอง คนให้เข้ากับครีมจนหมด
3. ร่อนแป้ง ผงฟู เกลือ เข้าด้วยกัน 2 ครั้ง ใส่แป้งลงในครีมทีละ 2-3 ช้อนใต๊ะ คนเบาๆ เพื่อเข้ากัน โดยคน
พลิกจากข้างล่างขึ้นข้างบนพอแป้งเข้ากับครีม ใส่นม 1-2 ช้อนใต๊ะ คนแบบเดียวกันแล้วจึงใส่แป้ง ใส่และคนแบบนี้จนแป้งและนมหมด จึงใส่วานิลลา คนพอทั่ว
4. ปูพิมพ์กลมขนาดเส้นผ่าคูนย์กลาง 8 นิ้ว ด้วยกระดาษไขเฉพาะก้นพิมพ์ ทาไขมันบาง ๆให้ทัวพิมพ์ เทขนมลงในพิมพ์ใช้ด้ามส้อมคนไล่อากาศ 2-3 ครั้ง
5. อบไฟ 375 องศาฟาเรนไฮต์ ประมาณ 45 นาที หรือจนขนมสุก ซึ่งขอบขนมจะหลุดออกจากพิมพ์ เพื่อความแน่ใจให้ใช้ไม้จิ้มตรงกลาง ถ้าไม่ติดไม้เป็นใช้ใด้ จึงเอาออกจากพิมพ์ดึงกระดาษไขออก (การเอาขนมออกจากพิมพ์ ใช้ที่แซะขนมแซะโดยรอบก่อน) กลับหน้าขึ้นพอเย็นจีงตัดเป็นชิ้น เสิร์ฟ

3.07.2554

ครีมโรลวานิลลา

ครีมโรลวานิลลา
ครีมโรลวานิลลา มีลักษณะพิเศษคือจะเป็นเค้กที่ม้วนเป็นวง ซึ่งการม้วนขนมนั้นต้องม้วนทันทีที่ขนมออกจากเตา เพื่อไม่ให้แตก ม้วนพออยู่ตัวทิ้งไว้สักครู่ แล้วจึงเอาผ้าขาวบางที่ม้วนออกให้หลวมๆ เพราะถ้าไม่คลายผ้าออกขนมจะขึ้นเป็นเหงื่อ ทำให้หน้าขนมหลุดไม่น่ากิน เมื่อทาครีมหรือแยมแล้วม้วนให้แน่นปล่อยไว้สักครู่จึงตัด ถ้าจะให้ตัดง่ายขึ้นให้แช่เย็นสักครู่ก่อน

ส่วนผสมของครีมโรลวานิลลา
แป้งสาลีเนกประสงค์ร่อน 1 ครั้ง 1 / ถ้วย
ผงฟู 1/2 ช้อนชา
เกลือ 1/2 ช้อนชา
ไข่ 5 ฟอง
น้ำตาลทราย 1 ถ้วย
เนยละลาย 3 ช้อนโต๊ะ
นมข้นจืด 1/4 ถ้วย
วานิลลา 2 ช้อนชา

ส่วนผสมของครีม
เนย ¼ ถ้วย
น้ำตาลไอซิ่งร่อน 1 ครั้ง 1 ถ้วย
น้ำมะนาว 2 ช้อนชา
นม 1 ช้อนโต๊ะ
วานิลลา 1 ช้อนชา

วิธีทำครีมโรลวานิลลา
1.ร่อนแป้ง ผงฟู เกลือ เข้าด้วยกัน 3 ครั้ง
2. ต่อยไข่ใส่อ่างผสม ใส่น้ำตาล ตีให้ขึ้นฟูจะใช้เวลาประมาณ 10 นาที
3. ผสมนมและวานิลลาเข้าด้วยกัน ใส่แป้งทีละน้อยสลับกับนมลงในอ่างไข่ที่ตี คนเบา โดยพลิกแป้งจากข้าง
ล่างมาข้างบนพอแป้งเข้ากับส่วนผสมจึงใส่นม คนให้นมเข้ากับแป้ง สลับกันเช่นนี้จนหมด ใส่เนยละลาย คนพอเข้ากัน
4. ปูกระดาษไขลงในถาด 11x15 นิ้ว ลึก 1 ซม. ให้กระดาษเกินขอบถาด 1 นิ้ว โดยรอบ เทขนมลงในถาด
อบไฟ 400 องศาฟาเรนไฮต์ ประมาณ 20 นาที หรือจนขนมสุกเหลืองจึงเอาออกจากเตา คว่ำถาดขนมลงบนผ้าขาวบางที่ปูบนตะแกรงดึงกระดาษไขออก ตัดขอบเเข็งออกม้วนขนมตามยาวให้แน่นแด่ม้วนเบามือ คลายผ้าที่ม้วนออกหลวม ๆคลุมขนมไว้ ปล่อยให้ขนมเย็นจึงคลี่ออกทาครีมหรือแยมแล้วจึงม้วนตามเดิม ถ้าใช้แยมใช้ 1/4 ถ้วยผสมกับน้ำอุ่น 1 ช้อนโต๊ะ ทาบาง ๆให้ทั่ว ตัดขนมเป็นชิ้นขนาด ½ - 3/4 นิ้วจะได้ประมาณ 18 อัน

3.02.2554

สาเหตุที่ทำให้เค้กผิดลักษณะ

บางครั้งเมื่อเราทำเค้กจะพบว่าเกิดปัญหาหลายๆ ประการที่เราคาดไม่ถึง ซึ่งอาจจะพบได้ดังนี้

1. เค้กเปลือกแข็งเกิดจากใช้ความร้อนสูงเกินไป ส่วนผสมมีน้ำตาลมาก ไป
2. เค้กไม่ขึ้น เกิดจากผงฟูน้อยหรือสิ่งที่ช่วยให้ขึ้นน้อยไป ผงฟูเก่า ให้ความร้อนสูงเกินไป แป้งที่ใช้เป็นแป้งหนักน้ำมากไป สัดส่วนของเครื่องปรุงไม่ดี หรือเผลอวางเค้กที่ผสมแล้วใกล้ไฟ
3. เค้กหยาบ เกิดจากคนน้ำตาลกับเนยไม่ได้ที่ คือ ไม่เป็นครีมเนียน ส่วนผสมมีน้ำน้อย
4. เค้กหดตัวมาก เกิดจากผสมไม่ถูกวิธี แป้งเหลวไป อบนาน
5. เค้กแบนราบ เกิดจาก แป้งน้อยไป ไฟอ่อนไป
6. เค้กหน้าแตก เกิดจากผสมไม่ดี แป้งที่ผสมแห้งไป ส่วนของน้ำและเเป้งไม่ได้สัดส่วนกัน แป้งมากไป ใช้แป้งหนัก
7. เปลือกขนมหนา เกิดจากไฟอ่อน

เนี้อเค้กที่ผิดลักษณะ เมื่อตัดออกดู
1. เนื้อหยาบ เกิดจากใส่ผงฟูมากไป เกิดจากความร้อนไม่พอ ไข่น้อย ส่วนผสมไม่ได้สัดส่วน
2. ขนมแน่น เกิดจากผงฟูน้อยไป ส่วนผสมเหลวไป และขึ้นอยู่กับชนิดของแป้ง
3. รสชาติไม่ดี เกิดจากผงฟูมากไป ส่วนผสมไม่ได้สัดส่วน
4. เค้กแข็ง เกิดจากน้ำตาลน้อยไป แป้งมากไป ไขมัน (เนย มาร์การีน) น้อยไป สัดส่วนไม่ดี
5. เนึ้อน้อยฟ่าม เมี่อตัดแล้วขนมจะเหี่ยวยุบ เกิดจากผงฟูมากไป ไฟแรง น้ำตาลน้อยไป ไข่น้อยไป
6. เค้กผลไม้ผลไม้จม เกิดจากผลไม้เปียกไป มีน้ำเชื่อมติดมาก ผงฟูมากไป ส่วนผสมเหลวไป เเป้งเบาไป

ข้อควรสนใจในการทำเค้ก
1. แป้งต้องร่อนก่อนจีงตวง
2. ผงฟู แป้ง เกลือ ร่อนรวมกัน
3. การตวงต้องตวงให้พอดี ไม่พูน
4. การคนน้ำตาลและเนย ต้องให้เข้ากันเป็นครีมก่อนจะใส่ไข่ การคนไข่ก็ต้องคนให้เข้ากันดี
5. เมี่อใส่แป้งต้องใส่ทีละน้อย คนให้เข้ากันก่อนโดยวิธีตะล่อม คนพลิกจากข้างล่างมาข้างบน แล้วจึงใส่นม คนให้เข้ากันแล้วจึงใส่แป้ง
6. การทาถาดเตาอบ ให้ปูกระดาษที่ก้นภาชนะก่อน จึงทาไขมัน
7. การเทขนมลงในพิมพ์ ควรเทขนมเพียงครึ่งหนึ่งของพิมพ์ หรือ 1/3 ของพิมพ์เป็นอย่างมาก เเล้วจึงใช้ไม้คนให้ถึงก้นพิมพ์เพื่อไล่อากาศ
8. จุดเดาอบตั้งไฟให้ถึงความร้อนตามตำรับบอกจึงใส่ขนม ขนมเมื่อสุกจะมีสีน้ำตาลทอง ขนมจะหดตัวร่อนจากขอบพิมพ์ จึงเอาออกจากเตาวางบนตะแกรง ดึงเอากระดาษ ออก
9. นมที่ใช้ คือ นมสด หรือถ้าใช้นมข้นจืด (นมระเหย) ต้องเติมน้ำเท่าตัว
10. น้ำตาลใช้น้ำตาลป่น หรือน้ำตาลทรายป่น
11. น้ำตาลไอซิ่ง คือน้ำตาลผงละเอียดที่ผสมแป้งข้าวโพดหรือแป้งมัน ให้แต่งหน้าเค้ก หรือโรยหน้าขนมปัง
12. ไข่ หมายถึงไข่ไก่ทั้งฟอง ไข่แดงคือไข่ที่แยกไข่ขาว ออก แล้ว
13. โกโก้ผงละเอียด เมื่อผสมแลัวเรียกว่าช็อกโกแลต
14. กลิ่นที่ใช้ กลิ่นที่นิยมมี วานิลลา ส้ม กลิ่นกล้วย กลิ่นกาแฟ กลิ่นบรั่นดี กลิ่นช็อกโกแลต กลิ่นอัลมอนด์ เป็นต้น

2.21.2554

สิ่งที่ต้องระมัดระวังในการทำเค้ก

1. แป้งที่ใช้ทำขนม ควรเลือกแป้งใหม่ ไม่มีกลิ่นและก่อนจะใช้ควรร่อน 1 ครั้งก่อนตวง

2. ผงฟู เบกกิ้งโซดา เป็นตัวช่วยทำให้ขนมมีขนาดใหญ่ขึ้น จึงต้องเลือกใช้ชนิดที่ใหม่ ซึ่งสังเกตได้ว่าสีจะเป็นสีขาวและไม่ติดกันเป็นก้อน ตวงให้พอดีกับที่ตำรับบอกร่อนรวมกับแป้งและเกลือ

3. การตวงเครื่องปรุงทุกชนิดควรตวงให้พอดี ใช้สัน มีด ปาด

4. ถ้าทำเค้กโดยวิธีพื้นฐาน ควรคนให้เนยกับน้ำตาลเป็นครีมก่อนจึงใส่ไข่ คนพอเข้ากัน อย่าคนมาก ไข่จะแยกจากครีม ถ้าไข่แยกจากครีมต้องรีบใส่แป้ง

5. ใส่เเป้งสลับกับนม หมายความว่าใส่แป้งทีละน้อยแล้วคนตะล่อมเบา ๆโดยคนพลิกจากข้างล่างมาข้างบน เพื่อให้อากาศเข้ามาก ๆ จะช่วยให้ขนมขึ้น แล้วจึงใส่นมทีละน้อยคนจนนมเข้ากับส่วนผสมจึงใส่แป้งต่อ

6. ถ้าทำเค้กที่ต้องเเยกไข่ ให้ตีไข่ขาวเมื่อผสมทุกอย่างเสร็จแล้วไข่ขาวตีทิ้งไว้ไข่จะยุบ และถ้าตีนานเกินไป
ไข่จะแห้งทำให้ผสมเข้ากับส่วนผสมยาก

7. การปูกระดาษลงในพิมพ์ ควรปูพอดีพิมพ์หรือถาด แล้วจึงทาไขมันบาง ๆให้ทั่วพิมพ์หรือถาด ไขมันที่ใช้
ทาควรเลือกไขมันที่ไม่เค็ม ถ้าใช้ไขมันมีรสเค็มจะทำให้ขนมไหม้

8. การเทขนมลงในพิมพ์ ควรใส่เพียง 1/2 ของพิมพ์หรือ 2/3 เป็นอย่างมาก แล้วจึงใช้ใม้หรือด้ามช้อนคนให้ถึงก้นพิมพ์หรือถาดเพื่อไล่อากาศ

9. จะเอาขนมเข้าเตาอบก็ต่อเมื่ออุณหภูมิของเตาอบร้อนเท่ากับที่ตำรับกำหนด วางถาดขนมลงตรงกลาง
เตาแล้วตั้งเวลา

10. ขนมสุกจะเป็นสีเหลืองทอง ขอบหลุดจากพิมพ์ถ้าขนมชิ้นใหญ่ ใช้ไม้จิ้มตูตรงกลาง ถ้าจิ้มแล้วขนมไม่ติดไม้แสดงว่าขนมสุก จึงเอาออกจากเตาแล้วเอาขนมออกจากถาด

11. ถ้าจะแต่งหน้าขนนด้วยครีมหรือหน้าน้ำเชื่อมให้กลับเอาด้านล่างขื้น และใช้แปรงปัดเศษขนมออกให้หมดก่อน ลงมือ แต่ง

สิ่งที่กล่าวมาข้างต้นทั้ง 11 ข้อนั้นเป็นสิ่งที่ต้องระมัดระวังในการทำเค้ก


2.19.2554

เค้กมะพร้าวอ่อน

เค้กมะพร้าวอ่อน
สูตรเค้กมะพร้าวอ่อนสูตรนี้ ถ้าได้มะพร้าวน้ำหอม เค้กจะหอมน่ารับประทานมาก มะพร้าวจะต้องมีเนื้อนุ่ม เพื่อให้เค้กนุ่ม

ส่วนผสมของเค้กมะพร้าวอ่อน
แป้งสาลีอเนกประสงค์ร่อน 1 ครั้้ง 2 ถ้วย
ผงฟู 1/2 ช้อนชา
เบกกิ้งโซดา 3/4 ช้อนชา
เกลือ 1/4 ช้อนชา
เนย 1/2 ถ้วย
น้ำตาลทรายป่น 1 ถ้วย
ไข่ 3 ฟอง
นมเปรี้ยว 1/4 ถ้วย
เนื้อมะพร้าวอ่อนชิ้นพอดีคำ 1 1/2 ถ้วย
วานิลลา 1 ช้อนชา
มะพร้าวขูดสำหรับโรยหน้า

1. รอ่นแป้ง ผงฟู เบกกิ้งโซดา เกลือ เข้าด้วยกัน คนเนยให้ฟู แล้วใส่น้ำตาลทีละ 1 ช้อนโต๊ะ คนให้เป็นครีม จนน้ำตาลหมด
ใส่ไข่ทีละฟอง คนให้เข้ากันจนหมด ผสมนมเปรี้ยวกับมพร้าวอ่อนเข้าด้วยกัน วิธีการทำนมเปรี้ยวนั้นให้ใช้ นม 1/4 ถ้วยกับน้ำส้มสายชู 1 ช้อนชา การที่ต้องใช้น้ำส้มสายชู
ไม่ใช้มะนาวก็เพื่อป้องกันไม่ให้นมเป็นเม็ด และเนื่องจากเค้กสูตรนี้ใช้เบกกิ้งโซดา จึงต้องใช้นมเปรี้ยวเพื่อไม่ให้เค้กมีรสขม ไม่อร่อย และถ้าไม่ใช้เบกกิ้งโซดาเนื้อเค้กก็จะไม่ขึ้น เพราะว่ามีส่วนผสมของมะพร้าวอ่อนนั่นเอง
2. ใส่แป้งลงในครีมทีละ 1 ทัพพี คนพลิกกลับไปกลับมาพอเข้ากัน ใส่เนื้อมะพร้าวอ่อน 2-3 ช้อนโต๊ะ คนพอทั่ว สลับกับมะพร้าว ทำดังนี้จนหมดทั้ง 2 อย่าง ใส่วานิลลาคนพอทั่ว
3. ตักใส่กระทงเค้กที่วางในถาดอบเค้กชนิดหลุม อบไฟ 350 องศาฟาเรนไฮต์ ประมาณ 30 นาที หรือจนขนมสุกเหลือง ยกออกเตา โรยหน้าด้วยมะพร้าวขูด



2.14.2554

เค้กเชอร์รี่

เค้กเชอร์รี่
เค้กชนิดนี้จะใช้ทั้งเนยและมาร์การีนเพื่อความหอม เนยที่ใช้ให้ใช้เนยกระป๋องที่เขียนข้างๆ กระป๋องว่า butter ไม่ใช้เนยสดที่เป็นแท่งถ้าใช้เนยอย่างเดียว กลิ่นเนยจะแรงบางคนไม่ชอบ ถ้าใช้เนยสด เนยสดจะมีน้ำมากทำให้ขนมหดมาก

ส่วนผสมของเค้กเชอร์รี่
เชอร์รี่เชื่อมหั่นเป็นเสี้ยวเล็ก (ถ้าไม่มีใช้ลูกเกดได้) 1 ถ้วย
น้ำตาลทราย 1 ถ้วย
เนย 1/2 ถ้วย
มาร์การีน 1/2 ถ้วย
ผงฟู 1/2 ช้อนชา
ไข่ไก่ตีเข้ากัน 4 ฟอง
น้ำมะนาว 1 ช้อนโต๊ะ
แป้งเค้กร่อน 1 ครั้ง 21/4 ถ้วย
วานิลลา 1 ช้อนชา

1. คนเนยและมาร์การีนเข้าด้วยกัน ใส่น้ำมะนาว คนให้ทั่ว ใส่น้ำตาลทีละน้อย คนให้เข้ากันจนเป็นครีม ใส่ไข่คนพอเข้ากับครีม
2. ร่อนแป้งกับผงฟูเข้าด้วยกัน ใส่แป้งลงในครีมทีละน้อย คนเบาๆ พอเข้ากันจนแป้งหมด ใส่เชอร์รี่และวานิลลาคนให้ทั่ว
3. ตักใส่พิมพ์ 4X8 นิ้ว ที่ปูก้นพิมพ์ด้วยกระดาษไข ทาไขมันบางๆ ให้ทั่ว ตักใส่พิมพ์ 2 พิมพ์ ใช้ด้ามส้อมคนให้ถึงก้นพิมพ์ 2-3 ครั้ง
วางพิมพ์ลงบนถาด อบไฟแรง 375 องศาฟาเรนไฮต์ เป็นเวลา 40 นาที พอสุกขนมหลุดจากขอบเอาออกจากพิมพ์ พออุ่นแปรงด้วยบรั่นดีหรือเหล้ารัม ตัดเป็นชิ้นหนา 2 เซนติเมตร

หมายเหตุ เชอร์รี่ที่ใช้นั้นใช้ชนิดเชื่อมที่เรียกว่า glace cherry แต่ถ้าไม่มีก็สามารถใช้ชนิดดองในน้ำเชื่อมใส่ขวด ที่บางครั้งจะเรียกว่า cocktail cherry เนื่องจากนิยมใช้แต่งในแก้ว cocktail